counter





________________________________________________________________________________________________
ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร (๑) ปาฐกถาโดย ศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ แสดงที่ศาลาโรงธรรม โพธิ์ลังกา วัดพระเชตุพนฯ พระนคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฎคม ๒๕๑๐ โพสท์ในกระทู้ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ โดย อ.วิชิต ธรรมรังษี -  [18 มี.ค. 2547] องค์ปาฐกยังได้ชี้ให้เห็นอีกประการหนึ่งก็คือ นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าเรื่องรูป เรื่องสสารและพลังงานนี้เป็นเวลานานมาแล้วแต่ทว่า จำนวนเวลาที่ยานานเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ซึ่งเดี๋ยวนี้เราถือว่า....ได้ค้นคว้าเรื่องของจิตหรือของวิญญาณ และได้อนุโลมว่าเป็นวิชาวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี การค้นคว้าดังกล่าวนี้ก็เป็นการค้นคว้าที่เพิ่งจะถึง ก. ข. ก. กา เท่านั้น ..เพราะว่าตำราจิตวิทยาทุกเล่ม... ก็ยังไม่มีเล่มไหนที่พูดว่า จิตคืออะไร ขณะเห็นขณะได้ยิน ขณะนอนหลัง ขณะที่กำลังผันนั้นจิตมัวทำอะไรกันบ้าง ไม่ต้องพูดไปถึงจิต ในขณะตาย ในขณะเกิด เพียงแต่อธิบายถึงปรากฏการณ์ของจิต หรืออธิบายถึงพฤติกรรมที่แสดงออกของจิตเท่านั้น แต่ในปรมัตถธรรมเราเรียนรู้ว่า จิตคืออะไร เราเรียนรู้ว่า ในขณะที่เห็นได้ยิน ในขณะที่กำลังนอนหลังและในขณะที่กำลังฝันอยู่ ตลอดจนขณะตาย ขณะเกิด จิตใจมันทำอะไรกันอยู่ทั้งรูปทั้งนามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงนั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อนเหลือเกิน เราศึกษากันด้วยความยากลำบาก แต่ทว่า เมื่อมี ความเข้าใจแล้ว เข้าถึงชีวิตจิตใจจริง ๆ แล้วก็สามารถตอบปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย กว้างขวาง นักวิทยาศาสตร์ได้ทำให้โลกเจริญขึ้นมาในทางวัตถุ ในทางสสาร แต่นักวิทยาศาสตร์พระสัมมาสัมพุทะเจ้าได้แสดงให้เรารู้ในเรื่องของชีวิตอย่างลึกซึ้ง.. แล้วนำหนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่พ้นได้.. ตลอดกาลนิรันดรมาให้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า... ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประเสริฐ เพราะนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายในโลกนี้ ...ไม่อาจจะทำให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อย่างที่องค์ปาฐกได้แสดงถึงอำนาจของกรรมทำให้เกิดการหมุนเวียน แต่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดทำให้การหมุนเวียนนี้สะดุดหยุดลงได้เลย ปาฐกถาของท่านในวันนี้...นับว่าได้ประโยชน์เป็นอันมาก ดังนั้นผมจึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลายขอบคุณท่านปาฐก โดยปรบมือขึ้นอีกสักครั้งหนึ่ง.. ในนามของอภิธรรมมูลนิธิ.. ผมขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค เป็นอย่างสูง กับขอมอบหนังสือปรมัตถธรรมชื่อ “แสงสว่างของชีวิต” มีจำนวน ๙ เล่มด้วยกัน กับอีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือชื่อชีวิต เป็นฉบับภาษาอังกฤษมอบให้แก่ท่าน ได้มีท่านผู้มีเกียรติซักถามปัญหา และองค์ปาฐกได้ตอบดังต่อไปนี้ ถาม พระอาทิตย์สลายตัวด้วยหรือเปล่า ถ้าสลายตัวแล้วก็ขอคำอธิบายด้วยว่า มันสลายกันอย่างไร ? ตอบ เรื่องนี้ผมจะพยายามตอบให้ตรงเป้าสักหน่อย เท่าที่สามารถจะทำได้ ก่อนอื่นผมต้องขอชี้แจงสักเล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลายสาขา แล้วก็ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็แบ่งออกแยกออกละเอียดมากมาย.... สำหรับเรื่องดวงอาทิตย์นี้เป็นสาขาของดาราศาสตร์สาขาหนึ่ง แต่คำถามนี้ก็อยู่ในหลักการใหญ่ทั่ว ๆ ไป เท่าที่ผมทราบมา ดวงอาทิตย์ก็ประกอบด้วยสสารอย่างที่ได้กล่าวแล้วคือพลังงานที่อยู่ในปรมาณู....ซึ่งอยู่ในภาวะที่เราเรียกว่า... เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลอยู่ตลอดเวลาทีเดียว การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลนั้น ทำให้เกิดพลังงานขึ้นมา .. คือถ้าพูดไป พระอาทิตย์ก็เป็นดวงไฟดวงใหญ่ ที่จริงเราเห็นอย่างที่ท่านประธานกรรมการมูลนิธิอธิบายนี้ เราเห็นแต่เพียงว่า คุณภาพหรือปรากฏการณ์ที่ออกมาเท่านั้น... แต่ที่จริงนั้น ในนั้นประกอบไปด้วยปรมาณูมากมาย แล้วก็กำลังอยู่ในภาวะที่ปั่นป่วนมาก การปั่นป่วนนี้เขาอธิบายว่า เนื่องจากว่าสสารอนุภาคต่าง กำลังสลายแตกออก รวมตัวกันเข้า เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่มากหลาย เป็นการสลายตัวจากปรมาณูอย่างหนึ่งไปอีกปรมาณูหนึ่ง การรวมตัวของอนุภาค ของปรมาณูอันหนึ่ง เกิดปรมาณูอีกชนิดหนึ่งล้วนแต่ให้พลังงานอย่างมหาศาลทั้งนั้น พลังงานที่ให้ออกมานี้ เราจะเห็นออกเป็นแสดงสว่างเป็นความร้อน และเป็นแสงชนิดที่เรายังไม่ทราบทั้งหมดว่า จะมีผลดีหรือผลร้ายอย่างไร พลังงานต่าง ๆ มาจากไหนเล่าครับ... ก็มาจากมวลของปรมาณูนั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อพลังงานเปลี่ยนเป็นแสงสว่างออกมา เป็นความร้อนส่งออกมา เป็นรังสีอื่น ๆ ส่งมาจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็จะค่อย ๆ สายตัวไปทีละน้อย ๆ แต่ระยะของเวลาสลายนั้นกว่าจะหมด ก็เห็นจะอีกหลายพันล้านปี แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์บางคน ก็รู้สึกจะวิตกกังวลเป็นอันมากว่า ....พระอาทิตย์นี้กำลังค่อย ๆ เย็นลง เนื่องจากมีพลังงานในรูปต่าง ๆ ปล่อยออกมาเรื่อย ๆ เย็นลง ๆ ทุกขณะ ประมาณ ๑ ถึง ๒ ดีกรี ต่อกี่พันปี ผมก็จำไม่ได้แล้วครับ....แต่หมายความว่า ..เสื่อมน่ะเสื่อมแน่ ...สลายน่ะสลายแน่.. เนื่องจากพลังงานออกมาเรื่องทั้งในรูปของแสง ของความร้อน ของรังสีต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีวันหมดไป แต่ผมขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตอังหนึ่ง จักรวาลที่โลกของเรารวมกันอยู่นี่.. คือสุริยจักรวาล ยังมีจักรวาลที่ใหญ่กว่านี้ อีกหลายหมื่นจักรวาล หลายแสนจักรวาล เพราะฉะนั้นสุริยจักรวาลของเรา ก็มีเพียงแต่เป็นหน่วยเล็ก ๆ หน่วยหนึ่ง ในมหาจักรวาล ฉะนั้น ทุก ๆ อย่างก็เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ คือทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง และอยู่ในภาวะที่สลายตัวเรื่องเสมอไป ถึงแม้จะรวมตัวกันบ้าง ก็รวมกันชั่วขณะแล้วก็สลายไป เห็นจะพอแล้วนะครับ. อาจารย์บุญมีเพิ่มเติม ผมขอเติมธรรมะ ในเรื่องที่ถามนี้สักนิดหนึ่งว่า ในเรื่องของดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ และดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มีอยู่หลายแห่งในพระไตรปิฎก. โลกของเรานี้ ดวงอาทิตย์ของเรานี้ วันหนึ่งจะไม่มี จะถูกทำลายพินาศไป สัตว์ทั้งหลายในโลกจะล้มหายตายสิ้น แล้วในที่สุดจะไปก่อตัวรวมกันใหม่อีก สลายตัวกันหมดแล้วจะรวมกันอีก ท่านแสดงไว้ว่า จักรวาลนั้น หมายถึงดวงอาทิตย์และมีดาวต่างๆ จำนวนมากล้อมรอบอยู่ พระพุทธศาสนา ได้แสดงว่า จักรวาลนั้นมีเป็นอนันตัง คำว่าอนันตังแปลว่า นับจำนวนไม่ได้เลย... ไม่ใช่หมายถึงดาวพระเคราะห์นับไม่ได้ หรือดวงอาทิตย์นับไม่ได้เท่านั้น นับจักรวาลก็ไม่ได้ว่าจักรวาลนี้จำนวนเท่าไร ผมขอยกเรื่องมาแสดงประกอบสักหน่อย.. คือผู้อิทธิฤทธิ์มาก เหาะเหิรเดินอากาศได้ด้วยความเร็ว เท่ากับลุกธนูที่ยิงออกมาจากแหล่ง โดยผู้ยิงคือนายพรานหนุ่มฉกรรจ์ ...ไม่ใช่นายพรานแก่เสียด้วยนะครับท่าน มีฤาษี ๔ ตนนี้ ตกลงกันว่า เราจะลองเหาะไปดูในสากลจักรวาลนั้นว่า มันจะไปสิ้นสุดกันที่ไหน? เมื่อตกลงกันดังนั้นแล้ว ฤาษี ๔ ตนก็หันหลังให้กันแล้วก็ออกเดินทาง ..โดยเหาะไปด้วยความเร็วในทิศทั้ง ๔ เดินทางตลอดวันตลอดคืน จนกระทั่งฤาษีแก่ ลง ๆ แล้วก็ตายหมดทั้ง ๔ คนก็ไม่จบจักรวาลได้เลย. ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีใครมาถามว่า... จักรวาลนี้มันไปสิ้นสุดที่ไหน .. ก็ยกเรื่องฤาษีนี้มาว่าให้ฟังเสร็จแล้ว...ก็ไม่ต้องตอบ คิดเอาเองก็แล้วกันว่าสิ้นสุดที่ไหน แต่อย่างไรก็ดี โลกของเราก็ดี ..ดวงอาทิตย์ก็ดี... ไม่เที่ยง และเมื่อวันหนึ่งมาถึงเข้าก็ดับหมดไม่มีเหลือ ถ้าเราต้องเกิดก็ไปเกิดในแสนโกฏิจักรวาลอื่น เพราะจักรวาลนี้ เมื่อถูกทำลายลงแล้ว ก็ไม่ใช่ทำลายจักรวาลนี้จักรวาลเดียวเท่านั้น ลงมันเสียศูนย์ถ่วงไป ๑ จักรวาล จักรวาลอื่นอีกเป็นอันมาก ก็พลอยด้วยเช่นกัน ถ้าท่านได้มาศึกษาปรมัตถธรรม ก็จะเห็นความจริงว่า ในเรื่องของจักรวาลนี้..มีคำว่าเวหัปผลาอยู่คำหนึ่งว่า. .” ผู้ใดก็ตามทำกุศลชนิดที่เรียกว่ามีกำลังมาก.. ไปเกิดในเวหัปผลา จึงจะพ้นจากการทำลาย” เพราะฉะนั้นเกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นเทวดากี่ชั้น ๆ ก็อยู่ไม่ได้ นรกก็หมด เทวดาก็หมด แม้พรมชั้นต้น ๆ ก็ยังหมดต้องไปเกิดที่เวหัปผลาจึงจะพ้นไม่อย่างนั้น ก็จะต้องเกิดนอกแสนโกฏิจักรวาล ถ้าท่านยังไม่เคยได้ศึกษาปรมัตถธรรม ...ขอเชิญมาศึกษาได้ที่นี่ ทุก ๆ วัน เสาร์และวันอาทิตย์ มีการบรรยายปรมัตถธรรมทั้งสองวัน.. ผู้บรรยายก็มีหลายท่าน แล้วก็มีหลายห้องเรียน หนังสืออย่างง่ายๆ ที่จะให้ท่านศึกษาได้ที่บ้านของท่านเองก็มีมากมาย ขอเชิญท่านมาติดต่อเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตของท่านเองได้ทุก ๆ วันครับ ท้ายนี้ขอความสุขความสวัสดีจงบังเกิดขึ้นแด่ท่านสาธุชนได้โดยพร้อมเพียงกัน. จบการปาฐกถาธรรม ในหัวข้อเรื่อง .. ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไร โดยศาสตราจารย์ ยศ บุนนาค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์________________________________________________________________________________________________

ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใช้ศึกษาเป็นธรรมทาน
sthamma.net | Go to Top page2